รู้จัก ผู้ทรงอิทธิพล ในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ที่อายุเพียง 29 ปี

รู้จัก ผู้ทรงอิทธิพล ในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ที่อายุเพียง 29 ปี WikiBit 2021-09-05 13:24

หากพูดถึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่อายุยังน้อย หลายคนก็น่าจะนึกถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook แต่ในวงการคริปโทเคอร์เรนซีต้องคนนี้เท่านั้น

  หากพูดถึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่อายุยังน้อย หลายคนก็น่าจะนึกถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่เริ่มธุรกิจตั้งแต่ยังไม่จบมหาวิทยาลัย หรือ อีวาน สปีเกล เจ้าของ Snapchat ที่ปัจจุบันเพิ่งมีอายุได้ 31 ปี หรือในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ที่สามารถสร้างมหาเศรษฐีได้อย่างรวดเร็ว

  เราก็น่าจะคุ้นเคยกับชื่อของวิตาลิก บูเทอริน ผู้สร้างเครือข่าย Ethereum ที่ปัจจุบัน ยังคงมีอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีเศรษฐีอายุน้อยอีกคนหนึ่ง ที่คนไทยหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหู ขาคนนี้ ชื่อว่า “แซม แบงก์แมน-ฟรายด์” เป็นนักธุรกิจหนุ่ม วัย 29 ปี ซึ่งเขาคนนี้ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินเกือบ 3 แสนล้านบาท แล้วแซม แบงก์แมน-ฟรายด์ ทำธุรกิจอะไรให้ตัวเองมีทรัพย์สินแสนล้านก่อนอายุ 30 ปี ?

  แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ หนุ่มมาดเซอร์ผู้มาพร้อมกับทรงผมแอโฟร เขาเกิดและเติบโตที่สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1992 โดยทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้อินในสาขาวิชาที่พ่อและแม่สอน แต่ชอบคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มากกว่า นั่นจึงทำให้ในช่วงระดับชั้นมหาวิทยาลัย แซมตัดสินใจเข้าเรียนที่ Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT ในสาขาวิชาฟิสิกส์ ระหว่างนั้น แซมได้มีโอกาสฝึกงานเป็นนักพัฒนาโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า “Quantitative Trading” การฝึกงานนี้เอง ที่ได้จุดประกายให้เขาตัดสินใจว่าจะเอาดีในด้านนี้ ทำให้หลังจากจบการศึกษาที่ MIT แซมก็ได้เข้าทำงานที่ Jane Street Capital ทันที

  Jane Street Capital เป็นบริษัททำธุรกิจ Quantitative Trading โดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมีอีกธุรกิจ นั่นก็คือ “Liquidity Provider” หรือผู้ให้บริการเสริมสภาพคล่องของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อควบคุม Bid Offer หรือราคาซื้อขายสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพ แซมได้ทำงานสะสม ประสบการณ์อยู่ที่บริษัทแห่งนี้ร่วม 3 ปี จนในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจลาออก เพราะได้ไอเดียแล้วว่าจะนำประสบการณ์จากที่นี่ ไปสร้างธุรกิจของตัวเอง ทีนี้เรามาดูกันว่าระหว่างทำงาน เขาได้ไอเดียอะไร ? ในช่วงนั้น หรือในปี 2017 แซมเล็งเห็นว่าผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับคริปโทเคอร์เรนซี แต่โครงสร้างพื้นฐานหรือระบบที่จะมารองรับนักลงทุนในตลาดแห่งนี้ เขายังมองว่าไม่มีศักยภาพมากพอ

  โดยหนึ่งในปัญหาสำคัญที่เขามองเห็นก็คือเรื่องของสภาพคล่อง เพราะเมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนแห่กันเข้ามาให้ความสนใจในคริปโทเคอร์เรนซีเกินกว่าสภาพคล่องทั้งระบบจะรับไหว มันจะก่อให้เกิด “Spread” หรือส่วนต่างระหว่างราคารับซื้อและราคาเสนอขายมหาศาล ซึ่งส่วนต่างด้านราคานี้เอง ทำให้เขาคาดการณ์ว่าธุรกิจให้บริการเสริมสภาพคล่องรวมถึงโมเดลการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลนี่แหละจะเติบโตไปได้อีกมากในอนาคต พอคิดได้แบบนี้ เขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Alameda Research ขึ้นทันที ในปี 2017 Alameda Research เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากประสบการณ์การทำงานของแซม

  ที่บอกแบบนี้ก็เพราะว่าบริษัทดำเนินธุรกิจเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยทำแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโมเดลคณิตศาสตร์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าหรือการให้บริการเสริมสภาพคล่อง โดยสิ่งที่แตกต่างกันเพียงอย่างเดียว ก็คือ Alameda Research จะโฟกัสไปที่สินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ และสิ่งที่แซมคาดการณ์ไว้ก็เป็นไปตามนั้น เพราะในเวลาต่อมา คริปโทเคอร์เรนซีได้กลายมาเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจสูงมากในช่วง 4 ปีมานี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและให้บริการด้านสภาพคล่องในตลาดแห่งนี้ยังหาได้ยาก ทำให้ Alameda Research ที่มีความพร้อมทั้งด้านการลงทุนและให้บริการสภาพคล่องจึงเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

  ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ มีสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การจัดการ สูงถึง 3.3 หมื่นล้านบาท และไม่นานหลังจากเห็นว่า Alameda Research สำเร็จ ด้วยความเป็นนักเทรดอยู่แล้ว แซมก็ได้มองไปที่การก่อตั้งธุรกิจ Exchange ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท “FTX” ร่วมกับ แกรี่ หวัง ซึ่งเข้ามาเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีหรือ CTO จนในที่สุดก็ได้เปิดให้บริการ Exchange ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีในปี 2019 โดยแซม ก็ได้ออกแบบให้ FTX เป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีด้วยคอนเซปต์ที่วางไว้ว่า “Built by Traders, for Traders” หรือเป็นกระดานซื้อขายที่สร้างโดยเทรดเดอร์ เพื่อเทรดเดอร์โดยเฉพาะ

  โดย FTX ของแซม จะเป็นการเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ประเภทอนุพันธ์ เป็นหลัก เนื่องจากตัวเขาเองเป็นคนที่คลุกคลีกับการลงทุนตั้งแต่สมัยฝึกงาน จึงทำให้เขาออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเรียกได้ว่าซับซ้อน ลงบนแพลตฟอร์มแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น

  - Options สิทธิ์ในการซื้อหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี

  - Leveraged Token โทเคนแบบมีอัตราทด ที่อ้างอิงตามมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล

  - Volatility Products อนุพันธ์ที่อิงตามความผันผวนของตลาด

  โดยอนุพันธ์เหล่านี้ ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มอำนาจมูลค่าการลงทุนให้แก่ผู้ซื้อขายได้

  อย่างตัว Leveraged Token ที่ทำให้เราซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ในวงเงินที่มากกว่าเงินตัวเอง เช่น 3X Long Bitcoin Token คือถ้าเรามีเงิน 10,000 บาท เราสามารถแทงได้ว่าบิตคอยน์จะราคาขึ้น ในวงเงิน 30,000 บาท แปลว่าถ้ามันเข้าทางเรา เราแทงขึ้นและบิตคอยน์มีราคาเพิ่มขึ้น 1% เราก็จะได้กำไร 3% นั่นเอง แต่แน่นอนว่าผลตอบแทนที่มาก ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากตามมาด้วย เพราะหากอนุพันธ์ที่เราลงทุนไม่เป็นแบบที่เราคาดการณ์ เงินของเราก็จะหายไปในพริบตา เช่นกัน

  ซึ่งก็เรียกได้ว่า FTX เป็นเจ้าแรก ๆ ที่โฟกัสผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทนี้ จนสามารถสร้างการเติบโตมาได้จนถึงปัจจุบัน และได้ก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายอนุพันธ์คริปโทเคอร์เรนซีอันดับต้น ๆ ของโลก หากเรามาดูปริมาณการซื้อขายของแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีของ FTX จะอยู่ในอันดับที่ 4 มีมูลค่าการซื้อขายราว 4.6 แสนล้านบาทต่อวัน มากกว่า Coinbase กระดานซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่เพิ่งจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเป็นรองเพียง Binance, OKEx และ Huobi Global

  นอกจากนี้ FTX ก็ยังมีเหรียญเป็นของตัวเอง ชื่อว่า FTX Token หรือ FTT

  FTT ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นเหรียญประจำ Exchange คล้ายกับ Binance Coin บน Binance หรือ Bitkub Coin บน Bitkub ซึ่งผู้ถือครอง FTT ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น

  - นำ FTT ไปจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการซื้อขายบน Exchange

  - นำไปฝากไว้กับระบบเพื่อรับผลตอบแทน

  ปัจจุบัน FTX ได้รับการประเมินมูลค่ากิจการอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.9 แสนล้านบาท โดยแซม ที่เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของ มีทรัพย์สินมากถึง 2.8 แสนล้านบาท

  ทำให้เขาได้รับการจัดอันดับเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 274 ของโลก

  แถมยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในวงการคริปโทเคอร์เรนซี

  ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ในตอนที่เขามีอายุเพียง 29 ปี เท่านั้น..

  แอปพลิเคชั่น ‘Wikibit’ มีฟีเจอร์โดนๆ สำหรับนักลงทุน อย่าง การตรวจสอบ Exchange และ Token เพื่อช่วยให้การตัดสินใจในการลงทุนของคุณนั้นง่ายขึ้น เพียงแค่คุณกดค้นหาเท่านั้น ข้อมูลที่คุณควรรู้ก็จะปรากฏขึ้นมาแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น คะแนนความน่าเชื่อถือจากแอป ใบอนุญาต ข้อมูลโครงการ การเยี่ยมชมจากเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันการมีอยู่ของบริษัทนั้นตามที่ได้แจ้งข้อมูลกับทาง ก.ล.ต. เพื่อขอใบอนุญาต ถือว่าครบจบในแอปเดียว อย่ารอช้าโหลดเลย!

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:

มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนสำหรับแพลตฟอร์มนี้ แพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและตรงเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้หรือการพึ่งพาข้อมูลบทความ

  • แปลงโทเค็น
  • การแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
  • การคำนวณอัตราแลกเปลียน
/
ชิ้น
อัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้
จำนวนเงินที่สามารถแลกได้

0.00